วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

10 อันดับรถหรู

รถหรูที่เเพงที่สุดในโลก

 เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ใครหลายคนต่างฝันถึงการมีรถหรูไว้สักคัน เพราะรถเหล่านี้เป็นเสน่ห์เย้ายวนใจด้วยรูปลักษณ์สุดสง่างาม สมรรถนะที่สุดยอด ซึ่งมูลค่าของมันคงสูงอย่างไม่ต้องคาดเดาแน่นอน และวันนี้ กระปุกคาร์ จะพาไปรู้จักกับ 10 สุดยอดรถหรูที่มีซื้อขายกันด้วยราคาสูงที่สุดในโลกที่จัดอันดับโดยเว็บไซต์ท็อปคาร์เรตติ้ง ซึ่งเราเลือกนำเสนอรถจากเกณฑ์ที่มีราคาซื้อขายกันระหว่างดีลเลอร์กับผู้ขาย ไม่นับการประมูลเพราะไม่สามารถวัดค่าที่แท้จริงของรถได้ โดยแต่ละคันที่นำเสนอนี้ต่างมีเรื่องราวที่น่าทึ่ง น่าสนใจ และเป็นเอกลักษณ์มากเลยครับ

Maybach Exelero


คลิป  Maybach Exelero โพสต์โดยคุณ Motorvision สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม

          มายบัค เอ็กซ์เซเลโร่ (Maybach Exelero) ราคา 8 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 240 ล้านบาท

          สุดยอดรถยนต์หรูจากเยอรมนี ความพิเศษอยู่ที่มันถูกผลิตเพียงคันเดียวในโลกเท่านั้น ซึ่งสร้างมาจากแรงบันดาลใจของรถยนต์สปอร์ตในช่วงปี 1930และ มายบัค 57 ลีมูซีน (Maybuch 57 limousine) รถหรูรุ่นดั้งเดิม โดยรถยนต์คูเป้สองที่นั่งคันนี้ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ V12 ทวินเทอร์โบ ให้กำลัง700 แรงม้า สามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดถึง 350 กม./ชม. แม้จะมีน้ำหนักรถถึง 2,600 กิโลกรัมก็ตาม

          สำหรับที่มาของรถราคาแพงคันนี้ เริ่มต้นจาก Fulda Tire บริษัทผลิตยางรถยนต์คุณภาพสูงในประเทศเยอรมนี ต้องการรถยนต์คันใหม่เพื่อใช้ทดสอบสมรรถนะของยางรถยนต์รุ่นใหม่ ดังนั้น เดมเลอร์ (Daimler) บริษัทต้นสังกัดจึงผลิตรถคันดังกล่าวออกมาในปี 2005 โดยการออกแบบรถยนต์คันนี้ได้ทำการจัดประกวดระหว่างนักเรียนออกแบบยานยนต์ใน ประเทศเยอรมนี และได้ผู้ชนะเข้าไปร่วมงานเพื่อสร้างเอ็กซ์เซเลโร่ขึ้นมา

          หลังจากที่ Fulda Tire เลิกใช้รถคันนี้แล้ว ก็ได้ทำการขายให้กับนักธุรกิจอัญมณีที่ชื่อ อังเดร แจ๊คสัน ในราคา 7.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งช่วงนี้เองที่แจ๊คสันได้ให้เจย์-ซี แร็ปเปอร์ชื่อดังนำเอ็กเซเลโร่ไปประกอบฉากในมิวสิกวิดีโอ เพลง Lost one ก่อนที่จะขายให้กับเจ้าของปัจจุบัน ไบรอัน วิลเลี่ยม หรือ เบิร์ดแมน แร็ปเปอร์ชื่อดังอีกคนหนึ่งด้วยราคา 8 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 240 ล้านบาท ในปี 2011 มันจึงเป็นรถยนต์ที่ซื้อขายโดยไม่ผ่านการประมูลที่มีราคาสูงที่สุดตอนนี้


Rolls-Royce Hyperion Pininfarina


คลิป  Pininfarina Rolls Royce Hyperion - Dubai Motorshow 2011 with GTspirit.com  โพสต์โดยคุณ Shmee150 สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
          โรลส์-รอยซ์ ไฮเปอเรียน พินินฟารินา (Rolls-Royce Hyperion Pininfarina) ราคา 7 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 210 ล้านบาท

          พินินฟารินา สำนักออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมชื่อดังจากอิตาลีที่มีผลงานโดดเด่นอย่างการ ออกแบบยอดรถสปอร์ตเฟอร์รารี่ตั้งแต่ยุค 1950 แต่ครั้งนี้ได้ออกแบบรถยนต์ร่วมกับ โรลส์-รอยซ์ ค่ายรถหรูจากสหราชอาณาจักร เพื่อเป็นรถสำหรับเทศกาลจัดแสดงรถหรู Concours d’Elegance โดยชื่อไฮเปอเรี่ยนนั้น มาจากยักษ์ในตำนานปกรณัมของกรีก ซึ่งเหมาะสมกับรูปลักษณ์การออกแบบอย่างมาก

          ไฮเปอเรี่ยนเป็นรถที่ผลิตเพียง 1 คันเพื่อจัดแสดงในงานดังกล่าวเท่านั้นในปี 2008 ตัวถังทั้งหมดใช้คาร์บอนไฟเบอร์ รูปทรงที่คงเอกลักษณ์ความเป็นโรลส์-รอยซ์อย่างครบถ้วน พร้อมไฟ LED ดีไซน์พิเศษที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งหลังจากเสร็จงานแสดงแล้ว โรลส์-รอยซ์ก็ได้นำสุดยอดรถหรูคันนี้ไปโชว์ที่พิพิธภัณฑ์ของค่ายเอง ซึ่งหัวหน้าทีมออกแบบรถคันนี้ ได้ประเมินมูลค่าและให้ราคาสูงถึง 6 ล้านเหรียญสหรัฐ
          แต่แล้ว โรลส์-รอยซ์ ไฮเปอเรี่ยยนก็หายไป และไปปรากฏตัวอีกครั้งอยู่ที่ดีลเลอร์ของโรลส์-รอยซ์ที่อาบูดาบี ซึ่งทางดีลเลอร์เองก็ไม่ได้ตั้งราคาอย่างเป็นทางการ แต่จากการประเมินของสื่อหลายสำนัก พบกว่า โรลส์-รอยซ์ คันนี้มีราคาขายถึง 7 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 210 ล้านบาท นับว่าเป็นมูลค่าที่เหมาะสมกับงานศิลปะติดล้อคันนี้จริง ๆ

Koenigsegg CCXR Trevita

คลิป  Koenigsegg CCXR Trevita   โพสต์โดยคุณ Speedracer38 สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม

           โคอีนิกเซ็ก ซีซีเอ็กซ์อาร์ ทรีวิตา (Koenigsegg CCXR Trevita) ราคา 4.85 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 145.5 ล้านบาท

          ยอดซูเปอร์คาร์จากประเทศสวีเดน มาพร้อมเครื่องยนต์ V8 ทวินซูเปอร์ชาร์จ ความพิเศษคือสามารถใช้น้ำมัน E85 และ E100 ได้โดยให้สมรรถนะได้เท่ากับน้ำมันออกเทน 98 สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 400 กม./ชม. และมีอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 2.9 วินาที

          โดย โคอีนิเซ็ก ซีซีเอ็กซ์อาร์ มีรุ่นพิเศษที่ชื่อ ทรีวิตา ตัวถังสวยงามด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ประกายเพชร ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีพิเศษในการสร้างขึ้น ให้ความแวววาวบนพื้นผิวที่แข็งแกร่งอย่างคาร์บอนไฟเบอร์ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังเพิ่มออปชั่นต่าง ๆ อย่าง สปอยเลอร์เคลือบประกายเพชร, เบรกเซรามิกคุณภาพสูงพร้อม ABS ที่หยุดได้ดั่งใจ, มาตรวัดภายในดีไซน์พิเศษ และโช้คอัพไฮโดรลิกสำหรับรถซูเปอร์คาร์

          นอกจากนี้ รุ่นทรีวิตา ยังถูกสร้างขึ้นมาเพียง 3 คันเท่านั้น และได้ขายให้กับเศรษฐีสหรัฐฯ ไปแล้ว 2 คัน ด้วยมูลค่าที่ตั้งจากโรงงาน 4.85 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 145.5 ล้านบาทและนับเป็นรถยนต์ที่ผลิตเชิงพาณิชย์ที่มีราคาสูงที่สุดที่เคยมีมา

Ferrari P4/5 Pininfarina
 

คลิป  Ferrari P4/5 by Pininfarina Hi-Speed Testing in France โพสต์โดยคุณ ELIMvideos สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม

          เฟอร์รารี่ P4/5  พินินฟารินา (Ferrari P4/5 Pininfarina) ราคา 4.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 144 ล้านบาท

          เฟอร์รารี่คันนี้เป็นรถที่ออกแบบและผลิตโดยบริษัทออกแบบชื่อดัง พินินฟารินา ซึ่งผลงานชิ้นนี้เป็นงานดีไซน์พิเศษที่ออกแบบมาให้เฉพาะมหาเศรษฐีและนักลง ทุนชาวสหรัฐฯ เจมส์ กริกเกนเฮาส์ โดยรถรุ่นดังกล่าวได้ใช้พื้นฐานโครงสร้างของ เอ็นโซ เฟอร์รารี่ (Enzo Ferrari) ผสานแรงบันดาลใจของรถแข่งของเฟอร์รารี่ในยุค 1960 จนได้ออกมาเป็นรูปลักษณ์อย่างที่เห็น

          ความ หรูหราสุดยอดของ P4/5 นั้น เริ่มตั้งแต่เครื่องยนต์ Dino F140 V12 6,000 ซีซี ที่ทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ใน 3 วินาที พร้อมความเร็วสูงสุดที่ 375 กม./ชม. ภายนอกใช้วัสดุจากคาร์บอนไฟเบอร์ โดยขึ้นรูปทรงแบบเดียวกับเฟอร์รารี่ F330 P4 ตามที่กริกเกนเฮาส์ได้ขอไว้ พร้อมประตูปีกผีเสื้อดีไซน์พิเศษที่ไม่มีเสียงลมลอดเข้ามาได้แม้จะขับเร็ว ถึง 160 กม./ชม.

          นอกจากนี้ ภายในยังเพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยี ซึ่งกริกเกนเฮาส์เป็นคนควบคุมการออกแบบเองทั้งหมด ประกอบด้วยแท็บเล็ตที่แสดงภาพของรถเป็นสามมิติ พร้อมระบบแจ้งเตือนการซ่อมบำรุง ปรับปรุงระบบปรับอากาศ และออกแบบโรลบาร์ใหม่ เพราะของเดิมที่ใช้ในเอ็นโซ เฟอร์รารี่นั้น แคบจนบดบังทัศนวิสัยของผู้ขับ เบาะนั่งยังสั่งทำพิเศษโดยการสแกนร่างกายของกริกเกนเฮาส์และลูกชายของเขา พร้อมทั้งตัดเย็บด้วยหนังสีดำและแดงที่เลือกโดยลูกสาวของเขาเอง นอกจากนี้ พินินฟารินา ยังจัดระบบการเดินสายไฟใหม่ที่ลดน้ำหนักรถลงไปอย่างไม่น่าเชื่อถึง 270 กิโลกรัมเลยทีเดียว

          สำหรับ เฟอร์รารี่ P4/5 คันนี้ แน่นอนว่าถูกสร้างมาเพียงคันเดียวและเป็นของครอบครัวกริกเกนเฮาส์เท่านั้น ซึ่งเฟอร์รารี่และพินินฟานิรา คิดเงินกับเศรษฐีผู้นี้เพียง 4.8 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 144 ล้านบาทเท่านั้น 


Ferrari SP12 EC
  

คลิป Ferrari SP12 EC - Eric Clapton's £3m 458 in London  โพสต์โดยคุณ Shmee150 สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
          เฟอร์รารี่ เอสพี 12 อีริค แคลปตัน (Ferrari SP12 EC) ราคา 4.7 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 141 ล้านบาท

          ม้าคะนองรุ่นพิเศษที่ผลิตเพียงคันเดียวเท่านั้นสำหรับ อีริค แคลปตัน มือกีตาร์ชื่อดังก้องโลก โดยเฟอร์รารี่ได้ร่วมมือกับพินินฟารินา ทีมนักออกแบบคู่บารมี สร้างสรรค์รถคันนี้บนพื้นฐานจาก เฟอร์รารี่ 458 อิตาเลีย (Ferrari 458 Italia) และ เฟอร์รารี่ 512 บีบี (Ferrari 512 BB) ซึ่งแคลปตันเคยใช้งานมาก่อน

          สำหรับ รายละเอียดของรถรุ่นดังกล่าว ยังไม่มีการเปิดเผยใด ๆ อย่างเป็นทางการ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกที่ข้อมูลรถเหล่านี้จะถูกเก็บเป็นความลับเพราะเป็นรถ ยนต์ที่สั่งทำเฉพาะ แต่คาดการณ์ว่าจะใช้เครื่องยนต์ V8 4,500 ซีซี พร้อมเกียร์ธรรมดาคลัชคู่ 7 สปีด แต่ราคาได้รับการเปิดเผยอย่างเป็นทางการว่ามือกีตาร์ Slow Hand (ฉายาของแคลปตัน) ได้ทุ่มเงินไป ประมาณ 4.7 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 141 ล้านบาทซึ่งเขาพอใจกับผลงานที่ออกมาค่อนข้างมากเลยทีเดียว


Lamborghini Veneno
 

คลิป Lamborghini Veneno $4.5 million supercar | Performance | Drive.com.au  โพสต์โดยคุณ Drive.com.au สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
          ลัมบอร์กินี เวเนโน (Lamborghini Veneno) ราคา 4 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 120 ล้านบาท

          สุดยอดรถจากค่ายกระทิงดุที่ผลิตแบบจำกัดจำนวนสุด ๆ เพียง 3 คันในโลกเท่านั้น โดย ลัมบอร์กินี เวเนโน สร้างจากพื้นฐานรถรุ่นอาเวนทาดอร์ (Lamborghini Aventador) ด้วยตัวถังไฟบอนคาร์เบอร์ที่ได้รับการออกแบบมาจนมีน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ พร้อมด้วยช่องลมจำนวนมากที่ช่วยเรื่องการทรงตัวของรถ แรงสุดยอดด้วยเครื่องยนต์ V12 6,500 ซีซี 750 แรงม้า ทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ด้วยเวลา 2.8 วินาที พร้อมความเร็วสูงสุด 354 กม./ชม.

          กระทิงดุนาม เวเนโน ถูกสร้างขึ้นในโอกาสครบรอบ 50 ปีของลัมบอร์กินี และเปิดตัวไปแล้วในงานแสดงรถ Geneva Motor Show 2013 และผลิตเพียง 3 คันเท่านั้น ซึ่งมีเพียงสีเขียว ขาว แดง ตามสีธงชาติของประเทศอิตาลี โดยมีสองคันส่งมอบให้ลูกค้าที่สหรัฐฯ แล้ว ส่วนอีกคันหนึ่งได้รับการเก็บรักษาในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งราคาที่ค่ายกระทิงดุตั้งไว้คือ 4 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 120 ล้านบาท

ugatti Veyron 16.4 Super Sport Sang Noir
 

คลิป Bugatti Veyron 16.4 Super Sport World Record | July 2010  โพสต์โดยคุณ BugattiSocialสมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
          บูกัตติ เวย์รอน 16.4 ซูเปอร์สปอร์ต แซง นอร์ (Bugatti Veyron 16.4 Super Sport Sang Noir) ราคา 3.4 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 102 ล้านบาท
          เจ้าของสถิติยานยนต์เร็วที่สุดในโลกจากบันทึกของกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด เมื่อปี 2010 (แต่ถูกถอดจากตำแหน่งเพราะพบว่าดัดแปลงเครื่องไม่ตรงกับกติกา) พกพาเครื่องยนต์ 8,000 ซีซี W16 ซึ่งมีวาล์วจ่ายน้ำมันมากถึง 64 วาล์ว พร้อมด้วยเทอร์โบชาร์จ 4 ตัว ให้กำลัง 1,200แรงม้า ผสานเกียร์อัตโนมัติคลัชคู่ 7 สปีดที่ใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมการทำงาน พัฒนาและออกแบบให้เปลี่ยนเกียร์ด้วยเวลาเพียง 150 มิลลิวินาที สร้างโดย ริคาโด และ บอล์ก วอนเนอร์ บริษัทชิ้นส่วนยานยนต์ชื่อดังที่คิดค้นระบบเกียร์ DSG ซึ่งใช้ในโฟล์คสวาเกนได้อย่างดีเยี่ยมเพียงแค่ระบบเกียร์อย่างเดียวก็มีราคา ถึง 120,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3.6 ล้านบาท) เข้าไปแล้ว

          การออกแบบภายนอกคำนึงถึงหลักการอากาศพลศาสตร์หรือแอโรไดนามิกมากทีเดียว ด้วยการสร้างเส้นสายที่เพิ่มแรงกดเพื่อไม่ให้รถลอยเมื่อต้องวิ่งด้วยความ เร็วสูง พร้อมด้วยปีกอัตโนมัติที่ช่วยให้รถสามารถยึดเกาะถนนได้ดี ใส่ช่องอัดอากาศที่ด้านหลังเพื่อระบายความร้อน และช่องลมด้านข้างระบายความร้อนของเบรก โดยทุกการออกแบบของรถคันนี้เน้นใช้ประโยชน์จากลมให้มากที่สุด และด้วยคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบาที่ช่วยให้รถสามารถพุ่งไปข้างหน้าได้อย่าง รวดเร็ว

          สำหรับ บูกัตติ เวย์รอน ซูเปอร์สปอร์ต เป็นรถรุ่นที่ทำสถิติความเร็วสูงที่สุดในโลกที่มีการบันทึกไว้เมื่อปี 2010 ด้วยความเร็ว 434 กม./ชม.โดยรุ่นแซง นอร์ นั้นเป็นรุ่นที่มีราคาสูงสุด มีรูปลักษณ์ภายนอกเคร่งขรึมด้วยสีดำสนิท ต่างจากรุ่นมาตรฐานที่เป็นสีดำและส้ม ภายในรุ่นแซง นอร์ แสบซ่าด้วยสีส้มที่เป็นเอกลักษณ์ พร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ด้วยราคาที่สูงกว่ารุ่นปกติถึง 1 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ เวย์รอน แซง นอร์ มีราคา 3.4 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 102 ล้านบาท


W Motor Lykan Hypersport
 

คลิป W Motors Lykan Hypersports  โพสต์โดยคุณ marcamotoroficialสมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
          ดับบลิว มอเตอร์ ไลแคน ไฮเปอร์สปอร์ต (W Motor Lykan Hypersport) ราคา 3.4 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 102 ล้านบาท

          ซูเปอร์คาร์คันแรกที่ผลิตโดยชาวอาหรับ ในนามของดับบลิว มอเตอร์ แห่งเมืองดูไบ สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรต ซึ่งตั้งใจรังสรรค์ความงามที่ได้แรงบันดาลใจจากรถหุ้มเกราะของกองทัพ นำมาดัดแปลงจนมีหน้าตาเป็นรถสปอร์ตสุดโฉบเฉี่ยว ภายในมาพร้อมเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบบ็อกเซอร์วางกลางรถที่พัฒนาโดย RUF จากประเทศเยอรมนี ให้กำลัง 750 แรงม้า พารถทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 2.8 วินาที และความเร็วสูงสุด395 กม./ชม.

          สำหรับ ไลแคน ไฮเปอร์สปอร์ต นั้นโชว์ตัวครั้งแรกที่Qatar Motor Show 2013 และได้ประกาศราคาขายรถสปอร์ตสุดดุดันคันดังกล่าวที่ 3.4 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 102 ล้านบาท


Zenvo ST1
 

คลิป ZENVO ST1, a beast ! 24 heures du Mans - Parade  โพสต์โดยคุณ lemanstvสมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
          เซนโว เอสที 1 (Zenvo ST1) ราคา 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 54 ล้านบาท

          เซนโว ค่ายรถซูเปอร์คาร์จากประเทศเดนมาร์ก ได้สร้างรถซูเปอร์คาร์ตัวแรงสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน(เซนโวเขาว่าอย่าง นั้น)อย่าง เซนโว เอสที 1 ที่มีระบบเครื่องยนต์เป็นจุดเด่น ด้วยการมีทั้งเทอร์โบชาร์จและซูเปอร์ชาร์จบนเครื่องยนต์ V8 7,000 ซีซี ที่ให้กำลังสูงถึง 1,100 แรงม้า ผสานการทำงานกับเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ให้อัตราเร่งจาก 0-100>>กม./ชม. ใน 3 วินาที ทะยานด้วยความเร็วสูงสุด 375 กม./ชม. นอกจากเครื่องที่แรงสุด ๆ แล้ว รถรุ่นนี้ยังสามารถใช้พลังงานอย่างเอธานอลE85 ได้อีกด้วย

          ทั้งนี้ เซนโว เอสที 1 มีการผลิตขึ้นมาเพียง 15 คันเท่านั้น และได้ส่งมอบให้ลูกค้าทั้งหมดแล้ว โดยราคาที่ค่ายรถตั้งไว้อยู่ที่ 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 54 ล้านบาทพร้อมกับของแถมเป็นนาฬิกาข้อมือมูลค่าถึง 50,000 เหรียญสหรัฐ


Schuppan 962CR
 

คลิป The Schuppan 962CR: A Supercar Ahead of Its Time   โพสต์โดยคุณ TheDriveChannelสมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
         ชัปพัน 962 ซีอาร์ (Schuppan 962CR) ราคา 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 45 ล้านบาท

          ยอดรถสปอร์ตที่สร้างโดย เวิร์น ชัปพัน (Vern Schuppan) ยอดนักแข่งรถชาวออสเตรเลียในปี 1994 เพื่อสรรเสริญชัยชนะของเขาในการแข่งขันรถ 24 Hours Le Man หที่ต้องขับขี่ต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง และ All Japan Sport Prototype ที่รวบรวมรถต้นแบบต่าง ๆ มาแข่งขันกัน โดยเจ้า 962ซีอาร์นี้ ถูกสร้างบนพื้นฐานของ ปอร์เช่ 962 (Porsche 962) ที่ชัปพันใช้ชนะการแข่งขัน  Le Mansนั่นเอง

          รถรุ่นดังกล่าวใช้เครื่องยนต์ขนาด 3,300 ซีซี ทวินเทอร์โบที่ให้กำลัง 600 แรงม้า ซึ่งมีความเร็วเหลือเชื่อที่ 370 กม./ชม. และพุ่งจาก 0-100 กม./ชม. ด้วยเวลา 3 วินาที โครงสร้างตัวถังของรถคันนี้ สร้างและออกแบบโดยชัปพันทั้งหมด โดยมีการประกอบขึ้นที่เมืองบัคกิ้งแฮม ประเทศอังกฤษ โดยมีนายทุนชาวญี่ปุ่นที่สนับสนุนชัปพันตั้งแต่การแข่งออล แจแปน สปอร์ต โปรโตไทป์เป็นผู้ร่วมทุนด้วย

          อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่า ชัปพัน 962 ซีอาร์ ผลิตออกมาทั้งหมดกี่คัน แต่คาดการณ์ว่าน่าจะอยู่ที่ 5-6 คัน โดยราคาของมันสูงถึง 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 45 ล้านบาท แต่ดันออกมาผิดจังหวะในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำในยุคปลาย 1990 ส่งผลให้ยอดการซื้อน้อย ทำให้บริษัทต้องประสบปัญหาการเงินจากการขาดทุนและต้องล้มละลายในที่สุด


          เรื่องราวของรถหรูเหล่านี้คู่ควรกับราคาที่แสนแพงจริง ๆ ครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคุณค่าของมันไม่ได้อยู่ที่มูลค่าอย่างเดียวเท่านั้น ทว่ามาจากคุณสมบัติที่ขึ้นชื่อเฉพาะตัวของรถแต่ละคันนั่นเองที่ผู้ผลิตรถ ยนต์ต่างพยายามทุ่มเทสร้างยนตกรรมเหล่านี้ขึ้นมา ซึ่งเต็มไปด้วยความอุตสาหะเกินกว่าจะตัดสินด้วยราคาค่าตัวเลยล่ะครับ

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก victorstuff.com , superkoli.net , exoticsandluxury.com , ferrarinet.com , autoblog.com , extravaganzi.com , zercustoms.com , zenvoautomotive.dk เเละ ultimatecarpage.com

การดูแลรักษารถยนต์เบื้องต้น

การดูแลรักษารถยนต์เบื้องต้น
   ในชีวิตประจำวันของแต่ละคนจะหลีกเลี่ยงไม่พ้นกับการเดินทางและการใช้รถบน ถนน  ผู้ขับขี่รถยนต์อาจจะประสบปัญหาต่างๆเกี่ยวกับสมรรถภาพของรถยนต์ที่ใช้  แต่ปัญหาเหล่านี้สามารถป้องกันได้ด้วยตนเอง  ถ้าเราทราบขั้นตอนพื้นฐานในการตรวจสภาพรถยนต์ให้พร้อมใช้งานอย่างถูกต้องและ สม่ำเสมอ

วิธีการตรวจสอบรถยนต์ง่ายๆด้วยตนเอง
เป็นการดูแลสภาพทั่วไปของรถยนต์  เช่น
1. ยางรถยนต์
การตรวจลมยาง
         ควรตรวจเช็คลมยาง  และปรับแต่งให้ถูกต้องตามอัตราที่กำหนด หรือตามคำแนะนำ ในหนังสือคู่มือของรถยนต์เป็นประจำ
         ในกรณีของยางใหม่  ให้เพิ่มความถี่ในการตรวจเช็คลมยาง ให้มากกว่าปกติ (ในช่วง 3,000 กม. แรก) เนื่องจากโครงสร้างยางในช่วงนี้ จะมีการขยายตัว ทำให้ความดันลมยางลดลงจากปกติได้
         ห้ามปล่อยลมยางออก  เมื่อความดันลมยางสูงขึ้นขณะกำลังใช้งาน เพราะความร้อนที่เกิดขึ้นขณะใช้งาน เป็นตัวทำให้ความดันลมภายในยางสูงขึ้น เมื่อยางเย็นตัวลง ความดันลมยางก็จะกลับสู่สภาวะปกติ
         เพื่อป้องกันลมรั่วซึมที่วาล์ว  ควรเปลี่ยนวาล์ว และแกนวาล์วทุกครั้งที่เปลี่ยนยางใหม่ และมีฝาปิดวาล์วตลอดเวลา
         สำหรับยางอะไหล่  ให้ตรวจเช็คลมยางให้ถูกต้องทุกๆ เดือน
         หากขับรถที่ ความเร็วสูง ควรเติมลมมากกว่าปกติ 3-5 ปอนด์ จะช่วยลดการบิดตัวของโครงยาง ทำให้เกิดความร้อนน้อยลง หรืออาจใช้การสังเกต จากที่ใช้งานทุกวัน และความชอบของผู้ขับรถเป็นเกณฑ์ โดยส่วนใหญ่ค่าเฉลี่ยของความดันลมยางของรถเก๋ง จะประมาณ 28-30 ปอนด์/ตารางนิ้ว ส่วนรถกระบะ จะประมาณ 35-40 ปอนด์/ตารางนิ้ว (ขับขี่ทั่วไปไม่บรรทุกหนัก)
สถาพดอกยาง
2. ระดับของเหลวต่างๆของรถยนต์  เช่น  น้ำมันเครื่อง  น้ำมันเกียร์  น้ำมันเบรค  น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์  น้ำฉีดกระจก  น้ำกลั่นแบตเตอรี่  สามารถตรวจได้บ่อยครั้ง หรือสำหรับผู้ไม่มีเวลาควรตรวจอย่างน้อย 1ครั้ง ต่อ 1สัปดาห์
2.1 น้ำมันเครื่อง การตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่อง อุ่นเครื่องยนต์จนถึงอุณหภูมิทำงานแล้วดับเครื่องเช็คระดับน้ำมันเครื่องโดย ใช้ก้านวัดระดับน้ำมันเครื่อง
- เพื่อให้การตรวจเช็คถูกต้อง รถควรอยู่ในแนวระดับเครื่องยังร้อน และทำการวัดหลังจากดับเครื่อง 2-3นาทีเพื่อให้น้ำมันเครื่องไหลกลับลงด้านล่างก่อน
- ดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออก เช็คน้ำมันเครื่องที่ติดกับก้านวัดด้วยผ้า
- เสียบก้านวัดน้ำมันเครื่องคืนกลับจุดเดิม
- ดึงก้านวัดออกมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องที่ปลายก้านวัด ถ้าระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระหว่าง " F " กับ " L " แสดงว่าระดับน้ำมันเครื่องปกติ
ข้อควรระวัง
- หลีกเลี่ยงการเติมน้ำมันเครื่องมากเกินไป เพราะอาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้
- ตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องที่ก้านวัดอีกครั้งหลังเติมน้ำมันเครื่องลงไป
เช็คระดับนำมันเครื่อง
 2.2 น้ำมันเกียร์
- ขับรถยนต์เป็นเวลา 15 นาที เพื่ออุ่นน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ
ข้อแนะนำ:
• เนื่องจากน้ำมันเกียร์อัตโนมัติจะขยายตัวเมื่อมัน ร้อน ดังนั้นให้ตรวจเช็คระดับน้ำมันเกียร์หลังจากที่ได้ทำการอุ่นให้ร้อนแล้ว เนื่องจากโครงสร้างของเกียร์อัตโนมัติจะทำให้ปริมาณของน้ำมันเกียร์มีการ เปลี่ยนแปลงอย่างมากตามอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง
• สำหรับโคโรลล่า ให้ตรวจเช็คระดับน้ำมันเกียร์เมื่ออุณหภูมิสูงถึง 70 - 80°C (158 - 176°F)
-  จอดรถในพื้นระดับและดึงเบรกมือ
-  ให้เครื่องยนต์เดินเบา, เหยียบเบรก, ดึงคันเบรกมือและเลื่อนคันเกียร์อย่างช้าๆ จากตำแหน่ง P ไปยังตำแหน่งอื่นๆ จนถึงตำแหน่งเกียร์ L และเลื่อนกลับไปยังตำแหน่งเกียร์ P อีกครั้งหนึ่ง
-  ดึงไม้วัดระดับน้ำมันออกมาขณะที่เครื่องยนต์เดินเบา, เช็ดคราบน้ำมันด้วยผ้าให้สะอาด เสียบไม้วัดระดับน้ำมันเข้าไปอีกครั้ง และตรวจสอบระดับน้ำมันต้องอยู่ช่วง "HOT"
ข้อแนะนำ:
• เมื่อขีดของน้ำมันด้านหลังของเกจวัดแตกต่างจากด้านหน้า ให้อ่านค่าต่ำสุด
• เมื่อระดับน้ำมันมากกว่าค่ากำหนด น้ำมันเกียร์อัตโนมัติอาจรั่วออกจากรูระบาย เป็นสาเหตุทำให้เกียร์กระตุก
• ถ้าระดับน้ำมันเกียร์ต่ำเกินไป อาจทำให้การหล่อลื่นไม่เพียงพอ จะทำให้เกิดการเสียดสีของกลไกภายในเกียร์มาก
ระดับน้ำมันเกียร์
2.3 น้ำมันเบรค
วิธีการตรวจเช็คระดับน้ำมันเบรคควรจะอยู่ระหว่าง MAX และ MIN แต่หมั่นตรวจเติมให้อยู่ในระดับ MAX ดีที่สุด
เทคนิค : เติมน้ำมันเบรคจนถึงเส้นไข่ปลาและเมื่อปิดฝา ระดับน้ำมันจะขึ้นถึงระดับที่ถูกต้อง
เครื่องมือ - อุปกรณ์ : ผ้าชุบน้ำผืนขนาดพอสมควร ใช้ปิดตัวถังรถ ด้านที่เติมน้ำมันเบรคเพื่อป้องกันการกระเด็นไปถูกตัวถังรถ
ข้อควรระวัง
-  เติมน้ำมันเบรคให้ตรงกับระบบเบรคของรถหรือน้ำมันเบรคที่เคยใช้อยู่เท่านั้น แดง-แดง ใส-ใส
-  น้ำมันเบรคเป็นอันตรายต่อดวงตาและทำลายสีรถ ระวังล้นหรือกระเด็น
-  น้ำมันเบรกจะเสื่อมคุณภาพหากมีน้ำหรือความชื้นปนลงไป
ระดับน้ำมันเบรค
2.4  น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์
 ท่าน ควรตรวจระดับน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์เดือนละครั้ง และ ตรวจระดับน้ำพวงมาลัยเพาเวอร์ ในขณะที่เครื่องเย็นโดยดูที่ด้านข้างของกระปุกน้ำมัน ระดับน้ำมันควรอยู่ที่ไม่เกินขีดระดับสูงสุด และระดับต่ำสุด ถ้าระดับน้ำมันอยู่ต่ำกว่าขีดสุด ให้เติมน้ำมันจนระดับอยู่ที่ขีดสูงสุด
ข้อควรระวัง
-  เทน้ำมันช้าๆ และระวังอย่าทำน้ำมันหก ถ้าน้ำมันหกให้รีบทำความสะอาดทันที เพราะน้ำมันที่หกอาจทำความเสียหายแก่ส่วนประกอบอื่นในห้องเครื่องยนต์ได้
-  ควรใช้น้ำมันยี่ห้อที่ดีตามโฆษณาทั่วไป
-  การที่ระดับน้ำมันต่ำอาจเกิดจากการรั่วในระบบ ควรตรวจดูระดับน้ำมันและนำรถเข้ารับการตรวจสอบระบบพวงมาลัยเพาเวอร์โดยเร็ว
-  การหมุนพวงมาลัยค้างไว้สุดทั้งด้านซ้ายหรือขวาอาจจะทำให้ระบบลูกยาง ท่อยาง ลูกยาง ลูกน้ำท่อยาง ที่เกี่ยวข้องกับระบบเพาเวอร์ ฉีกขาดหรือแตกได้ เนื่องจากการหมุนพวงมาลัยสุดทำให้แรงดันสูง
ตำแหน่งน้ำมันพวงมาลัย
2.5 น้ำฉีดกระจก
การเติมน้ำฉีดกระจกให้เติมในถังสีขาวให้เต็มหรือบางท่านอาจจะผสมแชมพู เพื่อให้กระจกใสมากขึ้น
-  ระดับน้ำในถังน้ำฉีดกระจกอยู่ในระดับต่ำหรือว่าไม่มีเลย : เมื่อตรวจพบว่าระดับน้ำพร่อง ควรเติมน้ำผสมกับน้ำยาทำความสะอาดกระจกลงไปเล็กน้อย จะช่วยทำความสะอาดได้ดีกว่าน้ำสะอาดเพียงอย่างเดียวนอกจากการตรวจระดับน้ำ แล้วควรที่จะตรวจสภาพของถังน้ำเองว่ารั่วหรือไม่ โดยการเติมน้ำลงไปทิ้งเวลาสักพักและค่อยกลับมาตรวจระดับน้ำอีกครั้งว่าพร่อง หรือลดลงมากเพียงใด เมื่อตรวจไม่พบรอยรั่ว แล้วค่อยลองฉีดน้ำล้างกระจกอีกครั้ง
-  สายยางน้ำฉีดกระจกหลุดหรือรอยฉีกขาด : วิธีตรวจเช็คคือมองไล่ตั้งแต่การลำเลียงน้ำจากถังน้ำผ่านมอเตอร์ปั้มน้ำที่ ติดอยู่กับถังน้ำมองไล่ตั้งแต่สายยางที่ออกจากถังน้ำไปจนถึงหัวฉีดซึ่งถ้าพบ ว่ามีส่วนใดขาดหรือหลุดควรทำการซ่อมแซม
-  หัวฉีดน้ำอุดตัน : อาจจะเกิดจากการที่มีฝุ่นละอองไปอุดตันหัวฉีดน้ำ วิธีที่ง่ายที่สุดคือการนำเข็ม หรือเหล็กแหลมที่สามารถแทงผ่านรูฉีดน้ำได้มาแทงผ่านรูฉีดน้ำเพื่อดันสิ่งที่ อุตันอยู่ให้หลุดออก พร้อมกับการตั้งระดับให้หัวฉีดสามารถฉีดน้ำพอดีกับกระจกไม่ต่ำหรือสูงเกินไป ส่วนถ้าใช้เหล็กแหลมทิ่มก็แล้วยังไม่หลุดต้องใช้มาตรการสุดท้ายคือการนำหัว ฉีดทั้งหัวไปต้มในน้ำร้อนเพื่อละลายคราบที่อุดตัน
-  มอเตอร์ที่ทำหน้าที่ปั้มน้ำจากถัง : ถ้าตรวจตั้งแต่รายการ 1-3 แล้วก็ยังฉีดน้ำล้างกระจกไม่ได้ โดยเฉพาะรถยนต์ที่มีหัวฉีด 2 ตัว และไม่สามารถฉีดน้ำได้ทั้ง 2 ตัวคงต้องพุ่งเป้าไปที่‘มอเตอร์ที่ทำหน้าที่ปั๊มน้ำจากถัง’ส่วนสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ปั้มน้ำเสียนอกจากว่าจะหมดอายุการใช้ หรือเกิดจากการใช้งานที่ผิดอย่างเช่นระดับน้ำในถังน้ำต่ำหรือแห้งแต่ผู้ใช้ ยังคงพยายามฉีดน้ำทำให้มอเตอร์ร้อนจัดและเสียในที่สุด หรือการฉีดน้ำเป็นเวลานานเกินกว่า 20 วินาทีบ่อยๆ จะทำให้มอเตอร์ร้อนจัดและมีอายุสั้นลง
น้ำยาฉีดกระจก
2.6 น้ำกลั่นแบตเตอรี่
- ควรตรวจดูระดับน้ำกลั่น ก่อนทำการชาร์จทุกครั้ง ว่าแห้งไปหรือไม่ การตรวจเช็คสามารถดูได้จาก ลูกลอยระดับลูกลอยที่ลอยขึ้นมา จะต้องมองเห็นบาร์สีขาวเล็กน้อย ( ถ้าแถบบาร์สีขาวสูงเกินไปให้ดูดน้ำกลั้นออก เพราะนั้นอาจจะทำให้นำกลั่นล้นได้ ในขณะที่ทำการชาร์จ)หากไม่มีฝาลูกลอย ให้ใช้วิธีเปิดฝาจุกแล้วดูว่าน้ำกลั่นในเซลล์แบตเตอรี่มึระดับสูงกว่าแผ่น ธาตุภายในประมาณ 1 เซ็นติเมตร (วัดระดับด้วยสายตาก็ได้ ไม่ต้องใช้ไม้บรรทัดไปทาบนะค่ะ) ถ้าน้อยกว่าก็ให้เติมน้ำกลั่นลงไปให้อยู่ระดับที่ประมาณ 1 เซ็นติเมตร ห้ามเติมมากๆนะ เพราะเดี๋ยวน้ำกลั่นมันจำล้น เหมือนดังที่กล่าวข้างตัน
- ไม่ควรเติมน้ำหรือสิ่งอื่นใดลงไปในแบตเตอรี่ นอกจากน้ำกลั่น
- ในขณะที่ทำการชาร์จไม่ควรมีประกายไฟ ในบริเวณที่ทำการชาร์จ เพราะจะทำให้แก๊สที่เกิดขึ้นขณะชาร์จติดไฟได้ สถานที่ชาร์จจะต้องเป็นที่ร่ม สะอาด อากาศถ่ายเทได้สะดวก
- หลังการทำการชาร์จเรียบร้อยแล้ว ควรพักแบตเตอรี่ให้ระดับความร้อนของแบตเตอรี่ลดลงประมาณ 1ชั่วโมง จึงนำแบตเตอรี่มาใช้งาน
- ควรรักษาความสะอาดขั้ว บนฝา และรอบๆให้สะอาดและแห้งอยู่ตลอดเวลา ถ้าส่วนบนของแบตเตอรี่สกปรกให้ใช้ผ้าชุดน้ำแล้วเช็ดให้สะอาด จะให้น้ำล้างก็ได้ แต่ต้องระวังไม่ให้นำเข้าไปในตัวแบตเตอรี่ ( ควรทำความสะอาดให้แบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่

ระดับน้ำกลั่น

44ปีกำเนิดสงคราม6วัน